บริการสำรองข้อมูล

การกำหนดตามเป้าหมายการดำเนินธุรกิจและการควบคุมความเสี่ยง:

• RTO/RPO:
  - RTO (Recovery Time Objective): ระยะเวลาที่องค์กรสามารถทนการหยุดทำงานได้
  - RPO (Recovery Point Objective): ข้อมูลที่สามารถสูญหายได้สูงสุดในกรณีเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ

และการจัดประเภทข้อมูลตามความสำคัญ

• - Hot data (ข้อมูลร้อน): ข้อมูลสำคัญและใช้งานบ่อยในระยะเวลาใกล้เคียงกับปัจจุบัน
  - Cold data (ข้อมูลเย็น): ข้อมูลสำคัญที่ใช้งานไม่บ่อย และคาดว่าจะไม่ถูกเข้าถึงภายใน 30 วัน

การยืนยันสิ่งที่ต้องสำรองข้อมูลและการแยกแยะระหว่างการสำรองข้อมูลทั้งหมดของเครื่องและการสำรองข้อมูล:

1. การสำรองข้อมูลทั้งหมดของระบบ (Full-system backup):
- การสำรองข้อมูลทั้งหมดของเครื่องรวมถึงระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันทั้งหมดที่ติดตั้งในเครื่อง
- เหมาะสำหรับการกู้คืนทั้งระบบให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมหลังจากการสูญเสียข้อมูลหรือความเสียหาย

2. การสำรองข้อมูล (Data backup):
- การสำรองเฉพาะข้อมูล เช่น การสำรองไฟล์ฐานข้อมูล, ไดรฟ์ C, หรือไฟล์บางประเภทในไฟล์เซิร์ฟเวอร์
- เหมาะสำหรับการสำรองข้อมูลที่มีความสำคัญต่อธุรกิจ เช่น ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลการทำธุรกรรม เป็นต้น

หลังจากเลือกข้อมูลที่ต้องการสำรองแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการตัดสินใจเลือกวิธีการสำรองข้อมูลที่เหมาะสม:

• การสำรองข้อมูลทั้งหมด (Full backup): สำรองข้อมูลทั้งหมดของเป้าหมายทุกครั้ง วิธีนี้มีความน่าเชื่อถือสูง เพราะจะสำรองข้อมูลทั้งหมดในแต่ละครั้ง แต่ก็ใช้เวลาและพื้นที่มาก
• การสำรองข้อมูลเพิ่ม (Incremental backup): สำรองข้อมูลเฉพาะที่เพิ่มขึ้นจากการสำรองข้อมูลครั้งก่อน วิธีนี้จะประหยัดพื้นที่และเวลา เพราะจะสำรองเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากการสำรองข้อมูลครั้งล่าสุด
• การสำรองข้อมูลแบบต่าง (Differential backup): สำรองข้อมูลที่แตกต่างจากการสำรองข้อมูลเต็มครั้งก่อนหน้า วิธีนี้จะสำรองข้อมูลทั้งหมดที่มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่การสำรองข้อมูลเต็มครั้งล่าสุด แต่ไม่จำเป็นต้องสำรองข้อมูลทั้งหมดทุกครั้งเหมือนกับ full backup

การเลือกวิธีการสำรองข้อมูลขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูลและความสำคัญของข้อมูลที่ต้องการปกป้อง

เมื่อทำการตัดสินใจแล้ว ข้อมูลควรสำรองที่ไหน?

• การสำรองข้อมูลในท้องถิ่น (Local backup): ข้อมูลสำรองจะถูกเก็บไว้ในเครื่องเดียวกันกับข้อมูลต้นฉบับ ข้อเสียคือ หากดิสก์ท้องถิ่นเสียหาย ข้อมูลต้นฉบับและข้อมูลสำรองจะหายไปพร้อมกัน ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะใช้เป็นวิธีสำรองข้อมูลหลัก
• การสำรองข้อมูลระยะไกล (Remote backup): เพื่อลดความเสี่ยงจากการที่ข้อมูลต้นฉบับและข้อมูลสำรองอาจได้รับความเสียหายพร้อมกัน จะเก็บข้อมูลสำรองไว้ในเครื่องที่ต่างจากเครื่องต้นฉบับ (อาจเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นหรือฮาร์ดดิสก์ภายนอก) เช่น ข้อมูลในเซิร์ฟเวอร์ของห้องคอมพิวเตอร์ในบริษัทจะถูกสำรองไปยัง NAS ในห้องคอมพิวเตอร์นั้น โดยไม่ออกจากเครือข่ายภายใน
• การสำรองข้อมูลแบบ Off-site Replication: ตัวอย่างเช่น ข้อมูลในเซิร์ฟเวอร์ของสำนักงานใหญ่ในไทเปถูกสำรองไปยัง NAS ในห้องคอมพิวเตอร์ของสาขาในเกาสง ต้องใช้ VPN ในการเชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างสองสถานที่ เพื่อให้การสำรองข้อมูลระหว่างสองที่นี้เป็นไปได้อย่างปลอดภัย
• การสำรองข้อมูลบนคลาวด์ (Cloud backup): ข้อมูลจากที่ตั้งท้องถิ่นจะถูกสำรองไปยังคลาวด์ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายและความซับซ้อนในการจัดการข้อมูลสำรอง คลาวด์สำรองจะช่วยให้ข้อมูลได้รับการปกป้องจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ขององค์กร เช่น ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม

การเลือกวิธีการสำรองข้อมูลขึ้นอยู่กับความสำคัญของข้อมูล ความต้องการในการเข้าถึง และงบประมาณที่มีในการจัดการข้อมูลสำรอง

• หลักการสำรองข้อมูลแบบ 3-2-1 คือ สำรองข้อมูล 3 ชุด ไว้ในที่จัดเก็บ 2 ที่ (โดยทั่วไปแล้วจะเก็บใน NAS 2 ที่ หรือบน Cloud 1 Local 1), และเก็บไว้นอกสถานที่อีก 1 ชุด

การสำรองข้อมูล (Backup) คือการทำสำเนาข้อมูลที่คุณต้องการปกป้อง เพื่อให้คุณมีไฟล์สำรองของข้อมูลเป้าหมาย; ส่วน การทำซ้ำข้อมูล (Replication) คือการทำสำเนาระบบ IT ที่สำคัญขององค์กรในสถานที่ที่มีภูมิศาสตร์ต่างกัน (นอกสถานที่) เพื่อใช้ในการสำรองข้อมูล กรณีฉุกเฉินสามารถสลับระบบ IT สำหรับการสำรองข้อมูลเพื่อรักษาการดำเนินธุรกิจให้ต่อเนื่องและลดผลกระทบจากภัยพิบัติ

ก่อนการตั้งความถี่ในการสำรองข้อมูล ควรพิจารณาปัจจัยสามประการดังนี้:

1. ความถี่ในการอัปเดตข้อมูล
2. RPO (Recovery Point Objective) และ RTO (Recovery Time Objective)
3. พื้นที่จัดเก็บข้อมูล

หากความถี่ในการอัปเดตข้อมูลต่ำ แต่ตั้งความถี่ในการสำรองข้อมูลสูง จะทำให้เกิดสถานการณ์ที่จำเป็นต้องสำรองข้อมูลแม้ข้อมูลจะไม่ได้อัปเดต ซึ่งจะทำให้พื้นที่สำรองข้อมูลหรือทรัพยากรถูกใช้ไปโดยไม่จำเป็น; ในทางกลับกัน หากความถี่ในการอัปเดตข้อมูลสูง แต่ตั้งความถี่ในการสำรองข้อมูลต่ำ จะทำให้บางเวอร์ชันของการสำรองข้อมูลถูกพลาดและไม่ได้รับการอัปเดต; เมื่อข้อมูลไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป ข้อมูลสามารถย้ายออกจากขอบเขตของการสำรองข้อมูลแบบต่อเนื่องและพลศาสตร์

ก่อนการกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูล จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัย 3 ประการดังนี้:

1. ความจำเป็นในการทบทวนหรือการตรวจสอบข้อมูล (เช่น การทบทวนเวอร์ชันหรือความต้องการในการตรวจสอบ)
2. RPO (Recovery Point Objective)
3. ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ขนาดของพื้นที่สำรองข้อมูล

หากข้อมูลไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป หรือไม่มีความจำเป็นในการทบทวน ก็เพียงพอที่จะเก็บสำรองแค่ข้อมูลล่าสุดเท่านั้น; แต่ถ้าไม่แน่ใจว่ามีความจำเป็นในการทบทวนข้อมูลหรือไม่ ควรกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาตามพื้นที่สำรองข้อมูลที่มีอยู่